เช่นเดียวกับนานาประเทศที่ตื่นตัวกับการหาทางออกให้กับปัญหามลพิษทางอากาศ เพราะครั้งหนึ่งประเทศยูเออี หรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นประเทศที่มีชื่ออยู่ในสมุดบันทึกข้อมูลสีเขียวเล่มน้อย หรือ ‘Little Green Data Book’ ในรายงานประจำปีของธนาคารโลก ปี 2015 ว่าเป็นประเทศที่มีอากาศเลวร้ายที่สุดในโลกมาแล้ว
คำว่า ‘ที่สุดในโลก’ ในด้านลบนั้น ย่อมเป็นคำที่ไม่ว่าประเทศไหนหรือใครก็ตามจะอยากเป็นหรืออยากได้ยิน แต่ในปีนั้นยูเออีก็ขึ้นแท่นนำเป็นเบอร์หนึ่งด้วยปริมาณมลพิษ 80 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สูงกว่าจีนซึ่งอยู่ที่ 73 ไมโครกรัม และมากกว่าอินเดียที่สูง 32 ไมโครกรัมถึงสามเท่า เรียกว่าอาบูดาบี เมืองหลวงของยูเออีนั้น เป็นฮอตสปอตหรือเมืองหมอกควันที่มากไปด้วยปริมาณฝุ่นที่มีผลกระทบต่อมนุษย์และคุณภาพของอากาศเลยทีเดียว
การหาทางออกนั้นจะมีอะไรดีไปกว่าลุกขึ้นมาเปลี่ยนลบให้เป็นบวก แต่เนื่องคุณภาพอากาศที่อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่ามาตรฐานของอัมบูดาบีนี้เกิดขึ้นมาจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการกลั่นน้ำมัน การผลิตไฟฟ้า กิจกรรมทางอุตสาหกรรม และมลพิษจากควันรถยนต์ รัฐบาลยูเออีจึงมีข้อสรุปว่าจะทำการปรับปรุงคุณภาพอากาศโดยมีความร่วมมือกันกับทางภาคเอกชนเพื่อหานโยบายที่เหมาะสม เช่น จะใช้ขยะหรือของเสียจากอุตสาหกรรมมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า ตั้งศูนย์จัดการของเสีย ฯลฯ
ในขณะที่เทคโนโลยีถูกนำมาใช้เพื่อเปลี่ยนทิศทางของเมืองใหม่ การปลูกต้นไม้ก็เป็นแนวทางสำคัญที่ยูเออีนำมาใช้ โดยต้นไม้ที่ว่านั้นคือต้นโกงกาง ต้นไม้สำคัญของป่าชายเลนที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันชายฝั่งมาโดยตลอด
ก่อนหน้านี้ยูเออีได้เคยประกาศนโยบายที่จะปลูกต้นโกงกางให้ได้ 30 ล้านต้น ภายในปี 2030 เพราะต้นโกงกางที่ถูกชูขึ้นเป็นฮีโร่ในครั้งนี้ มีคุณสมบัติในการช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ โดยจะทำหน้าที่ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงกว่าไม้ชนิดอื่นๆ แต่ป่าโกงกางไม่ได้ถูกใช้เพื่อแก้ปัญญามลภาวะเพียงอย่างเดียว เพราะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในภาพใหญ่อย่างภาวะโลกร้อนที่ทุกคนต้องลงมือทำทันที โดยมีธรรมชาติเป็นเครื่องมือสำคัญ
บนเวทีประชุม COP 26 หรือเวทีการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เมืองกลาสโกลว์ เมื่อปลายปี 2021 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม แห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็ได้ประกาศเป้าหมายใหม่ในการการเพิ่มจำนวนการปลูกต้นโกงกางให้สูงขึ้นเป็น 100 ล้านต้น ภายในปี 2030 ตามเป้าหมายเดิม ซึ่ง 100 ล้านต้นนี้จะมีความสามารถในการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 115,000 ตันต่อปี
ถึงตอนนี้ ยูเออีมีแหล่งป่าโกงกางอยู่ 13 แห่ง นับเป็นผืนใหญ่ที่สุดของชายฝั่งอาหรับ และในจำนวนนี้อยู่ในเกาะต่างๆ ของอาบูดาบีถึง 8 แห่ง ที่จะทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันชายฝั่ง ฟื้นฟูระบบนิเวศ พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว และเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนเพื่อต่อสู้กับภาวะโลกร้อนและมลภาวะทางอากาศให้กับประเทศ
ที่มาข้อมูล:
1. www.thenationalnews.com
2. www.fanack.com
3. www.azraqme.org