
เมื่อพูดถึงเมืองเดินได้ ในความหมายถึงเมืองที่มีโครงสร้างพื้นฐานสอดคล้องกับการใช้ชีวิตกลางแจ้ง สามารถเดินเท้าได้อย่างสะดวกปลอดภัย ขนส่งมวลชนมีค่าบริการสอดคล้องกับค่าครองชีพ แน่นอนว่าประเทศแถบสแกนดิเนเวียย่อมติดอันดับอย่างไม่ต้องสงสัย และ ‘สวีเดน’ คือหนึ่งในนั้น โดยเฉพาะเมืองหลวงอย่างสต็อกโฮล์มที่มีคนเดินเท้าและใช้ชีวิตกลางแจ้งนับล้านคนต่อวัน
แต่นอกจากโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้ออำนวย เรื่องของคุณภาพอากาศก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในยุคที่ค่าฝุ่นควันแถบสแกนดิเนเวียขยับสูงขึ้นจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง และการเพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมหนักในหลายๆ พื้นที่
การปรับปรุงคุณภาพอากาศของเมืองจึงต้องดำเนินคู่ขนานใน 2 มิติ คือ สนับสนุนให้ผู้คนเดินเท้าและใช้ขนส่งสาธารณะได้ต่อไป พร้อมกับสร้างกลไกควบคุมมลพิษทางอากาศอย่างเข้มข้น

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อปลายปี 2021 รัฐบาลสวีเดน ร่วมกับ KTH Royal Institute of Technology จึงชวนกันออกโปรเจ็กต์ CitizAir ขึ้นเพื่อตอบโจทย์ทั้ง 2 ข้อข้างต้น ผ่านการสร้างฐานข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพอากาศของเมือง พร้อมประมวลผลข้อมูลแบบ Real time และแจ้งให้กับประชากรทุกคนรับรู้ถึงคุณภาพอากาศของเมืองในระดับที่ละเอียดสุดๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ‘เลือกวิธีการเดินทาง’ ให้สอดคล้องกับสภาพอากาศบริเวณนั้น อาทิ ถ้าคุณภาพอากาศแย่สุดๆ ก็อาจเลือกขึ้นรถไฟใต้ดินมากกว่าปั่นจักรยาน หรือถ้าอากาศดีหน่อยก็อาจเลือกเดินสูดอากาศมากกว่าการขึ้นรถเมล์ เป็นต้น
ความพิเศษของ CitizAir คือการนำข้อมูลมา Visualized เป็นกราฟิกที่เข้าใจง่าย และยิงตรงข้อมูลเหล่านั้นไปในช่องทางอันหลากหลาย ทั้งแอปพลิเคชั่นในมือถือ ป้ายบิลบอร์ดทั่วสต็อกโฮล์ม รวมถึงสถานที่ใดก็ตามที่มีหน้าจอเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็จะมีข้อมูลสภาพอากาศของบริเวณนั้นแจ้งให้ทราบ

ทั้งความละเอียดของข้อมูล และโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลของประชากรที่ออกแบบมาหลากหลายช่องทางอย่างที่เห็น ก็ เนื่องจากว่าเป้าหมายของโปรเจ็กต์นี้คือลดกำแพงการเข้าถึงข้อมูลสภาพอากาศให้มากที่สุด โดยเฉพาะเด็ก คนแก่ และคนที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี เพื่อเป็นการสนับสนุนให้คนเดินเท้าและใช้ขนส่งมวลชนต่อไป ซึ่งเป็นวิธีลดมลพิษทางอากาศได้อย่างยั่งยืน
โปรเจ็กต์ CitizAir นำร่องใช้งานในสต็อกโฮล์มไปแล้วตั้งแต่ปี 2021 และคาดว่าจะสามารถพัฒนาฟังก์ชั่นและขยายผลครอบคลุมทั้งประเทศสวีเดนและประเทศอื่นๆ ภายในปี 2024 นับว่าก้าวนี้ของสวีเดน น่าจะเป็นความหวังครั้งสำคัญของการพัฒนาเมืองในอนาคตก็ว่าได้