ตัวเลขที่น่ากังวลจากการเปิดเผยขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั่วโลก อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง 7 ล้านคนที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควรมีสาเหตุจากปัญหามลพิษทางอากาศ และมีประมาณการล่าสุดว่า ภายในปี 2050 มลพิษทางอากาศจะผลักดันให้มีอัตราผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้น 77 เปอร์เซ็นต์
ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ยังมีข้อมูลจากรายงานของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ( สสส.) ว่า ปัจจุบันวงรอบการเกิดฝุ่น Pm2.5 พบได้เร็วมากขึ้น จากเดิมที่พบในต้นฤดูหนาวช่วงปลายธันวาคม ขยับขึ้นมาเป็นต้นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งข้อมูลตัวเลขผู้ป่วยโรคเกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ ของกระทรวงสาธารณสุข ระหว่าง 1 มกราคม-9 มีนาคม 2566 พบมากถึง 1,730,976 คน
ข่าวอันน่าพึงใจ คือสภาผู้แทนราษฎรมีมติเอกฉันท์ในการรับหลักการร่างพระราชบัญญัติกฎหมายอากาศสะอาด ทั้ง 7 ฉบับ แต่ถึงอย่างนั้น กว่ากระบวนการจะดำเนินเสร็จสิ้นครบขั้นตอนจนสามารถออกเป็นข้อบังคับ ยังคงต้องใช้เวลาอีกยาวไกล หากเทียบกับสถานการณ์ฝุ่นที่ยังคงรอการบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน
แล้วทางออกที่เกิดขึ้นได้ในระหว่างนี้คืออะไร เราติดตามมุมมองของ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานสภาลมหายใจ กทม. และดร.เจน ชาญณรงค์ รองประธานสภาลมหายใจ กทม. ที่ได้เผยแนวคิดผ่านรายการ รายการ Live สาระ ตอน ‘สภาลมหายใจกทม. กับกลไกขับเคลื่อนลดฝุ่นเมืองหลวง’ ทางเพจ The Bulletin เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ทุกคนต้องตระหนักในสิทธิในการเข้าถึงอากาศสะอาด
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภา และประธานสภาลมหายใจ กทม. ให้ความเห็นว่า ปัญหา PM2.5 มีต้นตออยู่ที่คนทั้งสิ้น และปัญหาของกรุงเทพฯ ไม่ได้จำกัดเฉพาะในกรุงเทพฯ แต่เกิดจากฤดูกาลเผานอกกรุงเทพฯ ด้วย
“ฝุ่นที่กรุงเทพฯ มีตลอดทั้งปีอย่างไม่ต้องรอฤดูกาล ทั้งรถยนต์และโรงงานก็ปล่อยควันอยู่แล้วพอสมควร และซ้ำเติมมากขึ้นเมื่อมีการเผาจากข้างนอก สภาลมหายใจ กทม. จึงต้องหาจุดเชื่อมทั้งกรุงเทพฯ และนอกพื้นที่ เพราะจะแก้ฝุ่นได้ต้องทำไปด้วยกัน”
ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งมีบทบาทเกี่ยวข้องกับการออกพระราชบัญญัติกฎหมายอากาศสะอาด วีระศักดิ์ให้ความเห็นว่า “ฉันทามติที่แข็งแรงทำให้เกิดการบรรจุวาระและผ่านการรับหลักการ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้เราได้สร้างกลไกแก้ปัญหาฝุ่นตามกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องผ่านอีกหลายขั้นตอนกว่าจะไปถึงการประกาศใช้เป็นกฎหมาย และเมื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว ก็ยังต้องใช้เวลาอีกนับปีในการตั้งคณะกรรมการ ออกข้อบังคับ ไปจนถึงวันที่เริ่มทำงานได้”
ทั้งนี้ การสื่อสารเรื่องสิทธิในการเข้าถึงอากาศสะอาด ยังเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินต่อไป และควรเน้นการสื่อสารไปยังทั้งสามกลุ่ม คือ กลุ่มคนทั่วไป ควรรู้ในสิทธิอากาศสะอาดและรักษาสิทธิของตัวเอง กลุ่มคนที่ก่อให้เกิดฝุ่น ที่บางคนอาจไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นสร้างปัญหา เช่น เผาขยะหน้าบ้าน เผาใบไม้ที่กวาดไว้ เผาเพื่อเตรียมพื้นที่ปลูก และกลุ่มคนที่มีหน้าที่และอำนาจในการบริหารจัดการ ทั้งรัฐบาลและผู้ประกอบการต่างๆ ที่มีกลไกทำให้การเผาลดลงไปได้
“พ.ร.บ.จึงไม่ใช่ยาวิเศษ ยาวิเศษอันแท้จริงมาจากศิลปะการสื่อสาร สิ่งที่ควรสื่อสารกับประชาชนคือ ขอให้ใช้ความ ‘สนใจ’ สนใจปอดของตัวเอง มองออกไปข้างนอกว่ายังมีความรู้เรื่องฝุ่นอะไรที่เรายังไม่รู้อีกบ้าง ความสนใจจะทำให้ ‘เข้าใจ’ และเมื่อเข้าใจแล้ว ให้ ‘ตั้งใจ’ ว่าในบทบาทของตัวเองจะทำอะไรได้บ้าง”
จะแก้ให้ยั่งยืนต้องกลับไปที่เรื่องคน
ดร.เจน ชาญณรงค์ รองประธานสภาลมหายใจ กทม. เฝ้าติดตามเรื่องฝุ่นมานาน และได้ศึกษาย้อนกลับไปถึงที่มาของฝุ่นในหลายปีที่ผ่านมา จนได้คำตอบว่า การจะแก้ปัญหาฝุ่นให้ยั่งยืน ต้องกลับไปที่เรื่องคน
“ยังมีคนอีกมากทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จักต้องจบชีวิตด้วยมะเร็งปอด หรือเป็นโรคถุงลมโป่งพอง ในกรุงเทพฯ และจังหวัดในภาคเหนือตอนบนมีอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดสูงกว่าที่อื่นสองเท่า และไม่มีแนวโน้มที่จะลดลงเลย มีแต่ขึ้นอย่างเดียว มันทำให้เห็นว่าสองพื้นที่นี้มีอะไรที่ผิดปกติ”
นอกจากฝุ่น PM2.5 แล้ว ยังมี PM0.1 ที่มาจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงเครื่องยนต์ดีเซลให้เราต้องเผชิญอีก “PM0.1 เป็นองค์ประกอบของสารเคมีก่อมะเร็งซึ่งมีอยู่ใน PM2.5 อยู่แล้ว ทั้งหมดมันเกี่ยวข้องกับชีวิตและสุขภาพ ปีที่แล้วมีคนป่วยเข้าโรงพยาบาลราว 2 ล้านคนจากมลพิษทางอากาศ คิดเป็นค่าเสียหายในการรักษาไม่รู้กี่พันล้านที่ต้องจ่าย
“ปีนี้เป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องไฟป่าซึ่งเป็นต้นตอฝุ่นที่สำคัญ เราได้เห็นรัฐบาลมารับลูกต่อ มีการยอมรับในข้อเท็จจริงของกรมอุทยานฯ ว่าเรามีการเผาป่ามากถึง 2.48 ล้านไร่ จากที่เคยบอกว่ามีอยู่แค่ 1.5 แสนไร่ เราได้เห็นการยอมรับแล้วว่าสิ่งนี้เป็นปัญหาของประเทศ แล้วช่วยกันแก้ไขจริงๆ
“การแก้ไขด้วยกลไกกฎหมายมันช้าอยู่แล้วเพราะยังมีขั้นตอนอีกเยอะ แต่การบังคับใช้กฎหมายอย่างเดียวก็ไม่ใช่คำตอบ กฎหมายอาญาเผาป่ามีโทษแรงมาก แต่ไม่มีใครกลัว เพราะเป็นการเผาในที่ลับ เผาในป่า หาตัวยาก ดังนั้นผมคิดว่ากลไกสำคัญคือภาคประชาชน
“กฎหมายอากาศสะอาดจะช่วยให้เขาตระหนักว่าเขามีสิทธิที่จะมีอากาศที่ดีขึ้น และหาทางช่วยกัน ปัญหาไฟป่าคือเกิดการลุกลามโดยไม่มีใครควบคุม ต้องการใช้พื้นที่นิดเดียวแต่เผาไปหนึ่งแสน ในชุมชนจริงๆ มีคนเผาไม่กี่คน อาจจะแค่เปอร์เซ็นต์เดียว ทำไม 99 เปอร์เซ็นต์ไม่สามารถดูแล 1 เปอร์เซ็นต์นี้ได้ ผมคิดว่าชุมชนต้องช่วยกัน
“ปัญหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความเหลื่อมล้ำ เรื่องรายได้ ถ้าคนเมือง ห้างร้านในตลาดหลักทรัพย์มีกลไกเข้ามาช่วย มีการเผาเท่าที่จำเป็น ไฟจะลด เราต้องหันหน้าเข้าหากัน”
เศรษฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อมเดินไปพร้อมกันได้
กลไกทางเศรษฐศาสตร์ คือเครื่องมือหนึ่งในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และดร.เจน เชื่อว่า สองสิ่งนี้เดินไปพร้อมกันได้โดยไม่ต้องเลือกฝั่ง
“ESG (Environment-สิ่งแวดล้อม, Social-สังคม, Governance-ธรรมาภิบาล) เป็นวิธีคิดที่ถูกฝังอยู่ในภาคธุรกิจ และผลักดันให้บริษัทโต ยกตัวอย่างแบรนด์เสื้อผ้าระดับโลกที่มีแนวคิดว่าต้องรักษาสิ่งแวดล้อม กำไรสิบเปอร์เซ็นต์จะกลับไปสู่สิ่งแวดล้อม แล้วสิ่งนี้จะกลายเป็นแบรนดิ้ง เป็นการบ่งบอกว่าสิ่งแวดล้อมอยู่ในธุรกิจได้ และธรรมาภิบาลสำคัญที่สุด”
วีระศักดิ์เผยอีกว่า “เรื่องนี้ได้มีการบรรจุลงในร่าง พ.ร.บ.กฎหมายอากาศสะอาด ในหมวดกลไกทางเศรษฐศาสตร์ด้วย ใครที่ทำดีต่อสิ่งแวดล้อมในเรื่องอากาศจะได้รับสิทธิบางอย่าง แต่นั่นเป็นเรื่องของกฎหมาย เป็นเรื่องพลังของผู้ประกอบการ และพลังของรัฐบาล
“อีกหนึ่งพลังที่สำคัญคือพลังของผู้บริโภค หากเราหยิบของจากชั้นวางสินค้าด้วยคำถามที่ว่า สินค้านี้สนใจสิ่งแวดล้อมและสังคมไหม มีความโปร่งใสในการจัดการแค่ไหน ไก่หมูที่เรากินเลี้ยงด้วยอาหารจากไหน ข้าวมาจากแปลงที่เผาหลังเก็บเกี่ยวหรือเปล่า มันพิสูจน์ได้
“ระบบตรวจสอบย้อนกลับของความปลอดภัยด้านอาหาร (Food Traceability) เป็นกระบวนการที่ใช้ในการส่งออกมานานแล้ว แต่ตลาดในประเทศไม่เคยได้ทวงถามเรื่องนี้ หากเรามีการทวงถาม มันจะเปลี่ยนกลไกตั้งแต่คนปลูก ผู้รับซื้อ ผู้ขาย ทำให้ผู้บริโภคมีพลังโดยไม่ต้องรอกฎหมาย”
ที่มาข้อมูล:
– รายการ Live สาระ ตอน ‘สภาลมหายใจกทม. กับกลไกขับเคลื่อนลดฝุ่นเมืองหลวง’
– www.facebook.com/watch/?v=733013278893030&extid=NS-UNK-UNK-UNK-AN_GK0T-GK1C&ref=sharing&mibextid=2Rb1fB&_rdc=1&_rdr
– www.thaipbs.or.th/news/content/335313
– www.facebook.com/biothai.net/posts/pfbid0SQ7VHhAg1nUGJ3csikPmiUNLedDDDipuoNcHEqdMhL6ZVPsVX8gD8VXg5BNBtRSsl