“อากาศสะอาด ในมุมมองของผม น่าจะเป็นคำว่า อิสระ ไร้กังวล ถ้าจะขยายความหน่อย ก็คืออากาศเป็นสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนได้กันฟรีๆ อยู่แล้ว และเป็นของธรรมดาที่ทุกคนได้เหมือนกันอย่างทั่วถึง อย่างในเมือง เราก็ทำกิจกรรมต่างๆ ได้อิสระ สวนสาธารณะมีคนมาวิ่ง กินข้าวริมถนน หรือว่าจะเดินแล้วดื่มอะไรไปด้วย นั่นคืออิสระที่เคยมี
.
“แล้วพอวันนี้ ฝุ่นละอองต่างๆ หรือฝุ่น PM2.5 ก็ทำให้เราได้รู้ว่าอากาศไม่สะอาด ซึ่งก็เหมือนกิจวัตรประจำวันของคนเมืองโดนจำกัดไปหมด จะทำอะไรก็ห่วงสุขภาพ มีความกังวลที่ต้องสูดอากาศ เช่น เวลาจะวิ่งเพื่อจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ เราก็จะมีความคิดในใจว่าจริงหรือ? ก็ไม่ค่อยสะดวกใจ หรือจะไปนั่งกินข้าวริมถนน ก็มีฝุ่น ก็รู้สึกไม่สบาย
.
“และถ้าพูดถึงวิธีการที่คนคนหนึ่งจะช่วยลดมลพิษทางอากาศ ส่วนตัวมองว่า ถ้าเริ่มจากตัวเองก็เป็นเรื่องที่ดีนะ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับบริบทของแต่ละคนว่าจะทำอะไรได้บ้าง ซึ่งก็อาจไม่อิมแพคพอ อย่างบอกให้ใช้รถยนต์ส่วนตัวให้น้อยลง นั่งรถสาธารณะ ก็พาไปแตะปัญหาโครงสร้างอื่นๆ เช่น เส้นการเดินทางยังไม่สะดวก หรือรถสาธารณะก็ยังปล่อยควันเสียอยู่เลย ฉะนั้นอาจต้องแก้ที่ต้นตอ เช่น เพิ่มจำนวนรถเมล์ไฟฟ้าที่ไม่ปล่อยควันเสีย ซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องปัจเจก เราทำได้แค่เลือกบริโภค แล้วก็เลือกได้แค่บางคน คือสิ่งที่คนคนหนึ่งทำได้ มันดีนะ แต่เล็กมาก
.
“หรืออย่างการเผาในโรงงาน เผาขยะ หรือการเผาพื้นที่การเกษตร ซึ่งแน่นอนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ ส่วนตัวมองว่าการจะช่วยสร้างอากาศดีๆ ให้เกิดขึ้น ตรงนี้เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีพาวเวอร์ หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำหนดเรื่องนี้ ที่จะเป็นส่วนช่วยสร้างอิมแพคได้มาก
.
“ทุกวันนี้ เหตุผลที่ยังมีผู้ประกอบการที่ไม่ทำโน่น ไม่ทำนี่ เพราะมีเรื่องค่าใช้จ่ายมาเกี่ยวข้อง ว่าแพง ต้นทุนสูง แต่ต้นทุนที่ว่านี่ไม่เคยรวมต้นทุนสุขภาพผู้คน หรือว่าต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม ฉะนั้นต้องมีการดำเนินการในการกำกับนโยบาย หรือมีกฎที่ชัดเจน เป็นต้นว่า ถ้าคุณเผา คุณต้องจ่ายค่าที่คุณสร้างมลพิษ เพื่อปกป้องสิทธิพื้นฐานอย่างอากาศสะอาด
.
“และอีกอย่าง มองว่าถ้ารัฐหรือหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องสิ่งแวดล้อม ทำเป็นต้นแบบให้เห็นก่อน ก็จะช่วยส่งเสียงภาพใหญ่ๆ ได้ และสำคัญคือ เรื่องอากาศที่ดีจะส่งผลให้พลเมืองสุขภาพดี และทำให้เมืองน่าอยู่น่าเที่ยว มีผลต่อเศรษฐกิจและความสุขของผู้คนในระยะยาว
.
“ทั้งนี้ส่วนตัวอยากชวนให้มองเป็นนโยบายขับเคลื่อนเชิงรุก มากกว่ามองเป็นการแก้ไขปัญหาแบบเชิงรับครับ”
.
ไจ๋–ธีรชัย ศุภเมธีกูลวัฒน์ นักออกแบบและเจ้าของแบรนด์ Qualy ธุรกิจเกี่ยวกับพลาสติกที่ตื่นตัวกับการดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน