ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารถที่วิ่งกันเต็มท้องถนน เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหามลภาวะทางอากาศที่สังคมเมืองกำลังเผชิญกันอยู่ ซึ่งเป็นผลมาจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ แต่ถ้าเราตรวจสอบสภาพรถยนต์ตามระยะทางหรือช่วงเวลา ก็จะสามารถช่วยลดการเกิดควันดำควันเสียจากท่อไอเสียได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังสามารถลดความเสียหายของเครื่องยนต์และระบบต่างๆ ของรถยนต์ได้ในระยะยาวอีกด้วย
ระยะเวลา และระยะทาง คือปัจจัยหลักในการสังเกตเพื่อบำรุงรักษารถยนต์ หากมีการใช้งานบ่อย วิ่งทางไกล หรือ ขับเป็นระยะเวลานาน ก็ให้นับเอาตามระยะทางในการคำนวน แต่ถ้าหากใช้งานรถน้อย ไม่ค่อยได้ขับ หรือเป็นเพียงรถสำรองคันที่ 2 ที่ไม่ค่อยได้ถูกใช้งาน ก็ให้นับที่ระยะเวลาเป็นสำคัญ
ในเรื่องการบำรุงดูแลรถยนต์ตามที่กรมการขนส่งทางบกเคยได้แนะนำเอาไว้นั้น มีอยู่ด้วยกัน 4 ระยะ เรามาปักหมุดลงปฏิทินเอาไว้กันลืมได้เลย
ทุกสัปดาห์
1. หมั่นดูแลเครื่องยนต์ทำความสะอาดไส้กรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ ไส้กรองอากาศมีหน้าที่ปกป้องเครื่องยนต์จากฝุ่นและสิ่งสกปรกต่างๆ หากไส้กรองเกิดสกปรกจะส่งผลให้ประสิทธิภาพของการกรองนั้นลดลง และอาจส่งผลให้เครื่องยนต์นั้นเกิดความผิดปกติได้
2. ชำระล้างสิ่งสกปรกในท่อไอเสีย อาทิ ขี้เขม่า เศษฝุ่นผง หรือสิ่งอุดตันต่างๆ ที่อาจขัดขวางการทำงานของท่อไอเสีย ส่วนนี้ทำความสะอาดได้โดยการฉีดน้ำเข้าไปภายในท่อ
ทุก 3 เดือน หรือ 10,000 กิโลเมตร
1. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่ผู้ผลิตกำหนด รถยนต์คันไหนที่ใช้งานเป็นประจำจะต้องเปลี่ยนบ่อยหน่อย คือทุกๆ 5,000 กิโลเมตร หรือทุก 3 เดือน ส่วนรถที่ใช้งานทั่วไปจะต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อขับถึงระยะ 8,000-10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน
2. ทำความสะอาดไส้กรองน้ำมัน รู้หรือไม่ว่าน้ำมันเครื่องนั้นมีตะกอน เมื่อใช้งานไปนานวันเข้า คราบเขม่าต่างๆ จะสะสมจนอุดตัน ส่งผลให้เครื่องยนต์เกิดความเสียหายได้
ทุก 6 เดือน
1. ตรวจสอบหัวฉีดน้ำมัน เพราะในน้ำมันนั้นจะมีกาก เมื่อใช้ไประยะเวลาหนึ่งอาจส่งผลให้มีการอุดตัน โดยปกติแล้วหัวฉีดจะฉีดน้ำมันออกมาเป็นฝอยละออง แต่หากมีการอุดตันเกิดขึ้น เวลาฉีดน้ำมันออกมาจะไม่เป็นฝอย ทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ สิ้นเปลืองน้ำมัน เป็นเหตุให้เครื่องสะดุด และก่อมลพิษเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ควรลืมว่าเราต้องล้างหัวฉีดเป็นประจำ
2. เปลี่ยนไส้กรองน้ำมัน ไส้กรองน้ำมันมีหน้าที่ดักจับฝุ่น เขม่า ตะกอน สิ่งสกปรก และเศษโลหะต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการสึกหรอภายในเครื่องยนต์ ป้องกันไม่ให้เศษสิ่งต่างๆ เล็ดลอดเข้าไปเสียดสีกับชิ้นส่วนภายใน หากไม่เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันอย่างสม่ำเสมออาจทำให้เกิดการอุดตัน น้ำมันเครื่องจะไหลไปทางวาล์วบายพาสโดยไม่ผ่านการกรอง นั่น หมายความว่าเศษฝุ่น ตะกอน เศษโลหะต่างๆ ที่เคยกรองเอาไว้ จะไหลสู่เครื่องยนต์โดยตรง จนอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เครื่องยนต์อย่างรุนแรงได้
3. เปลี่ยนไส้กรองอากาศเช่นเดียวกับไส้กรองน้ำมัน แต่ที่เพิ่มเติมคือหากออกซิเจนไม่สามารถไหลเข้าไปได้อย่างเพียงพอเพราะไส้กรองอากาศอุดตัน ย่อมก่อให้เกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ อันเนื่องมาจากส่วนผสมระหว่างเชื้อเพลิงและออกซิเจนไม่สมดุลกันนั่นเอง
ทุก 1 ปี
1. ตรวจเช็กหัวฉีดและปั๊มหัวฉีดน้ำมันให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานอยู่เสมอ โดยนำเข้าศูนย์บริการประจำปี ทำการตรวจเช็กปั๊มจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง เปลี่ยนชิ้นส่วนที่ชำรุดสึกหรอ รวมทั้งตรวจเช็กหัวฉีดน้ำมันและเปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอ ตรวจสอบอัตราและจังหวะการฉีดน้ำมันให้ถูกต้องตามที่บริษัทผู้ผลิตกำหนดไว้ เพื่อไม่ให้รถเกิดควันดำเมื่อนำไปใช้งานบนท้องถนน
2. ตรวจสอบสภาพรถโดยรวมอื่นๆ กับทางศูนย์บริการอย่าให้ขาด การนำรถเข้าตรวจเช็กระยะตามข้างต้น ทางค่ายผู้ผลิตรถยนต์ได้คำนวณมาอย่างเหมาะสมแล้ว เพื่อให้ประสิทธิภาพของรถอยู่ในเกณฑ์ที่ดีตลอดเวลา มีความปลอดภัย และสามารถยืดอายุการใช้งานได้ หากผู้ใช้รถไม่คอยตรวจเช็กสภาพรถตามระยะ อาจส่งผลให้มีภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมมากขึ้นในอนาคต
รู้อย่างนี้แล้วผู้ใช้รถจึงควรหมั่นดูแลสภาพรถยนต์อย่างสม่ำเสมออย่าละเลย เพื่อยืดอายุการใช้งานของรถคู่ตัวให้ยาวนานมากขึ้น และยังเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง ทั้งสามารถช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองที่จะปล่อยออกมาสู่สิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย
ที่มาข้อมูล:
1. www.facebook.com/watch/?v=2597666060466435
2. www.autospinn.com/2020/02/oil-filter-77105
3. www.dlt.go.th/th/dlt-vdo/view.php?_did=56