จากสถิติของ IQAir 2021 บอกว่าประเทศไทยเราติดอันดับที่ 45 จาก 117 ประเทศที่คุณภาพอากาศต่ำกว่ามาตรฐาน ได้เห็นตัวเลขแล้วก็แอบใจหม่นอยู่ลึกๆ เลยลองค้นดูต่อว่าแล้วประเทศอากาศดีที่สุดในโลกนั้นอยู่ที่ไหน เขาจัดการกันยังไงถึงได้ติดอันดับท็อปๆ กันไม่มีแผ่ว เผื่อมีวิธีไหนที่ประเทศเราพอทำตามได้จะขอป่าวประกาศชักชวนให้เอามาเป็นแบบอย่าง
และนี่คือ 5 ประเทศอากาศดีที่สุดในโลก ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากกว่า 1 ล้านคนอาศัยอยู่
เปอร์โตริโก
เปอร์โตริโก เกาะในทะเลแคริบเบียนที่ขึ้นชื่อเรื่องสาวงามที่สุดในโลก ส่วนด้านคุณภาพอากาศก็ไม่น้อยหน้า ด้วยว่าเกาะแห่งนี้ติด 1 ใน 3 ประเทศที่มีอากาศดีที่สุดในโลกมาถึง 2 ปีซ้อน และมีค่าอากาศไม่เกินคำแนะนำของ WHO ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ ค่ามลพิษในอากาศของประเทศนี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 13.7 ในปี 2018 สู่ 4.8 ในปี 2021
ซึ่งหากย้อนกลับไปในปี 2018 เปอร์โตริโกเจอภัยธรรมชาติครั้งร้ายแรงจากเฮอริเคนมาเรีย เกิดความสูญเสียเป็นประวัติการณ์ ทำให้ระบบไฟฟ้าของประเทศล่มทั้งเกาะ สัญญาณเตือนจากธรรมชาติในครั้งนั้นทำให้อเมริกาเพิ่มงบเพื่อลงทุนในพลังงานสะอาดมากขึ้น และรัฐบาลก็หันมาให้ความสนใจกับการแก้ปัญหาโลกร้อนมากขึ้นเช่นกัน
ฟินแลนด์
เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีพื้นที่สีเขียวจำนวนมาก และมีอากาศสะอาดที่ติดท็อป 10 ของประเทศที่อากาศดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จที่ใสสะอาดนี้ ต้องยกเครดิตให้กับนโยบายที่เข้มงวดมากในการรักษาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ การลดมลพิษจากอุตสาหกรรม และการใช้พลังงานสะอาด
นอกจากนั้น ฟินแลนด์ยังยืนหยัดในข้อตกลงปารีส (the Paris Climate Agreement) ทำให้ฟินแลนด์สามารถรักษาคุณภาพพื้นที่สีเขียวและอากาศสะอาดได้อย่างไม่บกพร่อง เราจึงไม่แปลกใจเลยที่ประชากรของฟินแลนด์ขึ้นชื่อว่า มีความสุขที่สุดในโลก
ออสเตรเลีย
เกาะที่มีพื้นที่ทะเลทรายมากเป็นอันดับ 2 ของโลก แต่ถึงอย่างนั้นก็มีประชากรอาศัยอยู่ถึง 25 ล้านคน เบื้องหลังอากาศสะอาดในแดนจิงโจ้ คือความตั้งใจผลักดันให้การมีอากาศสะอาดเป็นวาระแห่งชาติ โดยจัดทำข้อตกลง National Clean Air Agreement ขึ้นในปี 2015 เพื่อตั้งกรอบการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาสังคม
ซึ่งข้อตกลงนี้อยู่ภายใต้ 4 กลยุทธ์ที่สำคัญคือ ปรับปรุงมาตรฐานการเก็บข้อมูลและประเมินผล ลดการทำกิจกรรมที่สร้างมลพิษ สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน สร้างฐานข้อมูลและให้ความรู้กับประชาชนมากขึ้น
เอสโตเนีย
เบื้องหลังอากาศคุณภาพสูงของประเทศต้นแบบ e-government แห่งนี้ คือนโยบายสาธารณะที่จัดการกับทุกสาเหตุของมลพิษ อาทิ สนับสนุนให้คนเปลี่ยนมาใช้รถพลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมัน มีการเรียกเก็บภาษีรถยนต์ตามอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2-based car tax) และเก็บภาษีสูงจากยานพาหนะที่เครื่องยนต์ปล่อยของเสีย
อีกด้านหนึ่งเอสโตเนียก็ได้ปรับปรุงคุณภาพของระบบขนส่งสาธารณะ ทางเท้า ทางจักรยาน เพื่อสนับสนุนให้คนลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การเผาฟืนใช้ในครัวเรือนปล่อยมลพิษน้อยลง และฟืนที่ใช้จะต้องผ่านการเก็บไว้ให้แห้งอย่างน้อยสามปี เพื่อลดมลพิษจากการเผาไหม้ ไปจนถึงสนับสนุนให้มีการรีโนเวตบ้านให้เป็นบ้านประหยัดพลังงานด้วย
ไอซ์แลนด์
สำหรับประเทศที่เป็นดินแดนแห่งธารน้ำแข็งและภูเขาไฟนี้ พลังงานส่วนใหญ่ที่ใช้ในไอซ์แลนด์เป็นพลังงานจากความร้อนใต้พิภพ แต่เนื่องจากในแต่ละปีโรงงานปั่นไฟได้ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเป็นจำนวนมาก การคิดใหม่ทำใหม่จึงเกิดขึ้น
โดยนักวิจัยชาวไอซ์แลนด์ได้คิดโปรเจ็กต์ Carbfix เปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเหมืองไฟฟ้าพลังงานใต้พิภพที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ให้กลายเป็นก้อนหิน เพื่อลดการปะปนในอากาศและทำลายชั้นบรรยากาศโลก นอกจากนั้นยังเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มุ่งมั่นตั้งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2040
เรื่องน่าอิจฉาที่เรามีต่อประเทศเหล่านี้ไม่เพียงแค่มีการอากาศดี แต่ทั้งหมดยังติดอันดับประเทศผู้คนมีความสุข และคุณภาพชีวิตสูงอีกด้วย
เมื่ออากาศสะอาด ผู้คนได้ออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านอย่างปลอดภัย ความสุขในชีวิตก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
ที่มาข้อมูล:
1. www.iqair.com
2. www.awe.gov.au
3. www.sei.org
4. phys.org